เสวนา “เอ็มโอยูรถไฟจีนไทยใครได้อะไร\"
รหัสหลักสูตร: 5158
สัมมนานี้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว
(ถ้ามีจัด ท่านจะได้สิทธิ์ก่อน)
วิกฤติพลังงานเป็นปัญหาสำคัญของโลกปัจจุบัน เศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะมีความเข้มแข็งเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน ทั้งด้านการใช้และการจัดหาพลังงาน ทุกประเทศต่างเร่งรัดโครงการจัดหาพลังงานทดแทนและลดภาวะพึ่งพิงพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งนับวันจะมีราคาแพงและหายากมากขึ้น
การขนส่งทางระบบรางเป็นระบบขนส่งทางบกที่ประหยัดพลังงานมากที่สุด กล่าวคือ การขนส่งคนโดยการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจะใช้พลังงานเป็น 5 เท่าของการขนส่งด้วย รถไฟ และหากใช้รถประจำทางก็จะใช้พลังงานเป็น 1.7 เท่าของรถไฟ ส่วนการบรรทุกสินค้านั้น รถบรรทุกจะใช้พลังงานเป็น 3.5 เท่าของรถไฟ เมื่อทำการขนส่งในปริมาณที่เท่ากัน
การใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าในการขนส่งเป็นคำตอบหนึ่งที่มีความเป็นไปได้สูงในการลดค่าโสหุ้ยและค่าใช้จ่ายหลักในการขนส่งของชาติ โดยเฉพาะเมื่อมีการพัฒนาเป็นรถไฟฟ้าที่มีความทันสมัยและรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งมีศักยภาพในการพัฒนาไปเป็นระบบการส่งที่ทันสมัยอื่นๆ เช่น ระบบขนส่งที่ไม่ต้องใช้คนขับ และรถไฟแม่เหล็ก เป็นต้น
โดยตระหนักถึงความสำคัญของระบบรางในด้านความมีประสิทธิในการขนส่ง ดังกล่าว ในระยะหลังนี้จึงมีนโยบายของประเทศที่จะพัฒนาระบบรางของประเทศมาโดยตลอด ดังเช่น ที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ส่วนที่ 7 มาตรา 84(12) ความว่า “รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจโดยส่งเสริมและสนับสนุนการขนส่งทางราง” นอกจากนั้น รัฐบาลที่มี นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายในเรื่องดังกล่าวไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551 (ความโดยสังเขป) ดังนี้.-
ข้อ 4.3.2 (รัฐบาลจะ) พัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งและโลจิสติคส์อย่างบูรณาการฯ
ข้อ 4.3.3 (รัฐบาลจะ) พัฒนาระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบโดยเชื่อมโยงการขนส่งทางถนน ทางราง ทางน้ำและทางอากาศฯ
ข้อ 4.3.4 (รัฐบาลจะ) พัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้มีความสมบูรณ์และรถไฟชานเมืองให้เชื่อมต่อการเดินทางกับโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าฯและ
ข้อ 4.3.5 (รัฐบาลจะ) พัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ทั่วประเทศฯ
นับจากวันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นต้นมา รัฐบาลได้ดำเนินการมีความก้าวหน้าโดยผลักดันให้การก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วงมีความคืบหน้า ได้ลงนามในสัญญากู้เงินกับรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นเพื่อก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายสีแดง รวมทั้งได้เสนอแผนการลงทุนในการฟื้นฟูระบบขนส่งทางรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทยตามแผนการลงทุนในยุทธศาสตร์ “ไทยเข้มแข็ง” ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 170,000 ล้านบาท ในระยะ 5 ปี ประกอบด้วยโครงการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางรถไฟ ได้แก่ การก่อสร้างทางคู่ การบูรณฟื้นฟูทางรถไฟเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม และโครงการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการขนส่ง เช่น การจัดหารถจักร และล้อเลื่อน เป็นต้น
ตามข้อเท็จจริงที่ทราบกันโดยทั่วไปนั้น ภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบขนส่งทางราง ยังมีศักยภาพจำกัดซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานทั้งในภาครัฐและองค์กรอิสระต่างๆ อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย สภาอุตสาหกรรม ฯลฯ กำลังพิจารณาแก้ไขโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมไทยในการเข้ามีส่วนร่วมในการลงทุนระบบราง ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มพูนการจ้างงานในประเทศ เพื่อประหยัดเงินตราต่างประเทศ และเพื่ออาศัยโครงการลงทุนทางรางเป็นกลไกในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาติ
ในขณะที่ทุกภาคส่วนของประเทศกำลังดำเนินการคืบหน้าอยู่นี้ ได้ปรากฏข่าวเรื่องที่รัฐบาลไทยกำลังจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (Minutes of understanding: MOU) กับรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น ซึ่งข่าวดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงขึ้นกับผู้ที่มีความเกี่ยวข้องโดยทั่วไป
เช่น จะสร้างเป็นทางรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งได้เร็วกว่า 200 กม./ชม. หรือจะสร้างเป็นทางรถไฟธรรมดาแต่เป็นทางกว้าง 1.435 เมตร หรือที่เรียกว่ามาตรฐานยุโรป หรือจะสร้างเป็นทางรถไฟขนส่งสินค้าแยกออกไปต่างหาก ส่วนการปรับปรุงระบบรถไฟที่มีอยู่เดิมของการรถไฟฯก็ยังคงดำเนินการต่อไป หรืออย่างไร
สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบในวงกว้างต่อการพัฒนาระบบโลจิสติคส์และภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องมีความรอบครอบโดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมคิด ร่วมเสนอความเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียอย่างกว้างขวางด้วย
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ เล็งเห็นความสำคัญสูงสุดในการพึ่งตนเองในการเสริมสร้างความรู้ ความชำนาญทางวิศวกรรมระบบการขนส่งทางราง เพื่อเพิ่มการจ้างงานในประเทศ เพื่อประหยัดเงินตราต่างประเทศและเพื่อสร้างความมีศักดิ์ศรี (National pride) ในระดับนานาชาติด้านเทคโนโลยีโดยผ่านการพัฒนาระบบการผลิตในภาคอุตสาหกรรม จึงมีดำริจะจัดให้มีการประชุมเสวนาโต๊ะกลมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และนำเสนอแนวทางที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศขึ้น
การประชุมสัมมนาแบบโต๊ะกลมนี้ ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐบาลและเอกชนในการนำเสนอข้อคิดเห็นและอภิปรายว่าเรา ประเทศไทย จะได้อะไรจากการทำเอ็มโอยูไทยจีน ทำอย่างไรที่จะให้ภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่ง ภาคคการก่อสร้าง และภาคบริการวิศวกรที่ปรึกษาได้รับประโยชน์ และมีส่วนในการช่วยเร่งรัดพัฒนาให้โครงการลงทุนระบบรางสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีและก่อให้เกิดความสมประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนของประเทศไทย
กำหนดการเสวนา
13:00 – 13:10 น. กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการสัมมนา โดยคุณอารักษ์ ราษฎร์บริหาร
13:10 – 13:30 กล่าวเปิดการเสวนา โดยคุณประสงค์ ธาราไชย นายก วสท.
13.40 น. ร่วมการเสวนา
16:10 – 16:30 สรุป และ ปิดการสัมมนา
ดาเนินรายการโดยคุณอารักษ์ ราษฎร์บริหาร