*สูตรบริหาร “คน” สไตล์ “เจ้าสัวซีพี” ถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูก
*ความสุข - เป็นที่พึ่งพิง - ทีมเวิร์ก - คิดดี พูดดี หมัดเด็ดมัดใจพนักงาน
*สร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยคำว่า “ไดนามิก”
*กฏขั้นพื้นฐานของการให้เกียรติที่บอกกับพนักงาน

แต่ละองค์กรมีวิธีในการ “รักษา” และ “พัฒนาขีดความสามารถ” ของพนักงานแตกต่างกัน บ้างก็งัดเอาสูตรขององค์กรชาติตะวันตกมาเป็นมาตรฐานในการวัด บ้างก็อ้างอิงสูตรในตำรามาใช้เป็นเกณฑ์การประเมิน แต่ “ซีพี” มีวิธีการบริหาร “คน” ในมิติที่แตกต่าง แบบไม่ต้องอิงกับแหล่งใด

ทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ หรือคุณบี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทดีทีจีโอ ผู้ซึ่งใช้ words of wisdom ของประธานธนินทร์ เจียรวนนท์ เป็นเข็มทิศในการทำงานทั้งกับพนักงานในองค์กร คู่ค้า ประชาชน และสังคมส่วนรวม เล่าให้ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ฟังว่า บริษัทจะทำการตกลงร่วมกันระหว่างผู้บริหารกับพนักงานว่าจะใช้คุณธรรม และจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ นั่นหมายถึงไม่มีการหลอก หรือเอาเปรียบลูกค้า

นั่นคือกฏเหล็กข้อสำคัญที่พนักงานและผู้บริหารห้ามฝ่าฝืน เมื่อทุกคนรู้เป้าหมายร่วมกัน การทำงานก็ไม่ใช่เรื่องยาก จากนั้นจึงเป็นเรื่องของการสร้างความสุขและความอบอุ่นให้เกิดขึ้นในองค์กร

คุณบี กล่าวว่า พนักงานของซีพีถือว่าทำงานหนัก แม้จะทำงานกันจนดึกแต่ตอนเช้าก็ยังมาทำงานกันอย่างเต็มที่ เนื่องจากพนักงานเห็นว่าบริษัทเหมือนกับบ้าน และเพื่อนร่วมงานเป็นเหมือนกับคนในครอบครัว โดยวิธีที่จะทำให้พนักงานรู้สึกเช่นนั้นได้ก็คือต้องให้พนักงานมีความสุขกับการทำงาน งานจึงจะออกมาดีและมีคุณภาพ

“วันก่อนมีพนักงานประจำบางคนที่ต้องดูแลครอบครัวเป็นเดือน เขารู้สึกเกรงใจและขอลาออก เราบอกว่าไม่เป็นไรเราอยากให้เข้าใจว่า อย่ามองที่นี่เป็นบริษัทแบบทั่วไปถ้าไม่มาทำงานแล้วต้องออก เพราะเราดูว่าคนที่กตัญญูยิ่งมีค่า ถ้าคนที่ไม่กตัญญูเลยแล้วให้ไปรู้จักกับคนอื่นก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อแม่เรามีคนเดียวแต่ที่ทำงานเรามีเพื่อนตั้งเยอะ เราทำด้วยกันและกันได้ เรามีทีมมีหัวหน้ามีลูกน้อง”

ประเด็นสำคัญประการต่อมาก็คือ เป็นองค์กรที่สามารถเป็นที่พึ่งของสมาชิกทุกคน ลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าสัวธนินทร์ ย้อนระลึกความทรงจำถึงการเข้าไปช่วยเหลือพนักงานบริษัทที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งอย่างเต็มที่ แม้พนักงานทั้ง 2 คน จะไม่สามารถทำงานได้ก็ตาม

“เราบอกพนักงานทุกคนว่าชีวิตเราไม่จำเป็นต้องได้อย่างเสียอย่าง อย่างบางคนคิดว่าอยากจะประสบความสำเร็จ ครอบครัวต้องเสียสละถ้ามีความคิดอย่างนี้แสดงว่าเวลามีงานเข้ามาทุกครั้งครอบครัวต้องเสียสละ เพราะเราไปตั้งกฎเกณฑ์ไว้ว่าครอบครัวต้องเสียสละ ทำอย่างไรครอบครัวต้องเสียสละอยู่เสมอ ถ้าเราไปเปลี่ยนกฎเกณฑ์ ถ้าเราจะประสบความสำเร็จด้วยครอบครัวเราจะมีความสุขด้วยวิธีทำงานเราจะเปลี่ยนทันที อันนี้เลยเป็นสิ่งที่องค์กรตั้งไว้เลยว่าเราจะประสบความสำเร็จด้วยพนักงานเราก็ต้องมีความสำเร็จด้วย และเราก็ต้องสามารถช่วยเหลือสังคมได้ด้วยและเราก็ไม่โกง มีคุณธรรมและจริยธรรม”

อีกประเด็นที่ขาดไม่ได้สำหรับองค์กรที่ประสบความสำเร็จด้วย และมีความสุขด้วยก็คือ เรื่องของ “ทีมเวิร์ก” เพราะเป็นที่ตระหนักกันโดยทั่วไปว่า “วันแมนโชว์” หรือประเภท “ข้ามาคนเดียว” คงใช้ไม่ได้ผลนักสำหรับองค์กรที่ต้องการการทำงานเป็นทีม

“จริงๆแล้วเราเป็นสังคมเป็นองค์กร มันมีทุกมิติที่ต้องร่วมกัน เรากลับมาที่เบสิกก่อนยังไม่ต้องพูดถึงทีมเวิร์กคือเรื่องของการมีน้ำใจ เอาแค่ว่าเราช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานกันหรือยัง ถ้าแม้แต่น้ำใจที่ช่วยกันยังไม่มีก็ไม่ต้องไปพูดถึงทีมเวิร์ก เพราะที่เราทำงานมาได้ถึงทุกวันนี้ ผ่านเรื่องต้มยำกุ้ง ผ่านปัญหาต่างๆมาเพราะรุ่นก่อนๆ ไม่เกี่ยงงานกัน อย่างเพื่อนป่วยเราไปต่อว่าเขาไม่ทำงานและให้งานเขาเสียหายไปอย่างนี้ไม่ได้ วันนี้เราต้องรักและช่วยเหลือกันก่อนเป็นพื้นฐานของทีมเวิร์ก ตรงนี้เราทำเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมองค์กร”

ประเด็นต่อมาคือ ถ่ายทอดการคิดดี พูดดี ทำดี ไปสู่พนักงาน บางคนอาจคิดว่าการล้อเล่น การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องพื้นฐานธรรมดาของสังคมที่ใครๆก็ทำกัน ทั้งที่จริงแล้วการกระทำเช่นนั้นเป็นการสะท้อนถึงสิ่งที่ไม่ดีที่อยู่ภายในจิตใจ และสิ่งที่ไม่ดีในใจมันจะสะท้อนออกมาภายนอกให้คนอื่นได้เห็นผ่านทางน้ำเสียง แววตา และสีหน้า

“เราพยายามบอกพยายามสอนพนักงานสาวๆสวยๆว่าคิดไม่ดีมันจะน่าเกลียดโดยปริยาย เพราะเราเชื่อว่าทุกคนเห็นได้ Open mind สำคัญมากคือเราจะรับผู้บริหารต้องดูเรื่องนี้ก่อนเลย เป็นเรื่องของใจกว้างถึงจะทำงานที่ใหญ่ได้ พอใจแคบมันก็จะทุกข์เพราะความอิจฉาคนอื่น โกรธคนอื่น พอความทุกข์เข้ามางานก็ยากพลังก็จะไม่มี ตัวอย่างเช่น ถ้าลองสังเกต เราโกรธคนอื่นหรือน้อยใจ ร่างกายจะอ่อนเพลียไม่อยากทำงาน พรุ่งนี้ไม่อยากเจอคนนี้ คือเราจะถูกความโกรธความไม่พอใจไปบั่นทอน”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทดีทีจีโอ ยังกล่าวถึงกลไกในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร และคน ที่เป็น Value หรือคุณค่าของบริษัทก็คือคำว่า “DYNAMIC” ซึ่งในความเห็นของคุณบีนั้น เธอหมายถึง การรักษาคำพูด การรักษาเวลา หรือการให้คุณค่ากับเวลา หรือการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

“วันนี้เราจะใช้คำนี้สร้างวัฒนธรรมองค์กรขึ้นมา วันนี้เรายังมีคนที่มาสาย เรายังมีคนที่นัดคนอื่นแล้วปล่อยให้เขารอ ถ้าเรื่องเบสิคเราทำไม่ได้ เราจะไปไดนามิคได้อย่างไร คือ Back to basic ก่อนว่า ในขั้นพื้นฐานให้เรามีความรับผิดชอบต่อเวลา หรือสิ่งที่เรารับปาก เราต้องให้เกียรติกับคำพูดของเราให้เกียรติกับเวลา เพราะคำพูดของเราคือตัวแทนของเรา

การให้คุณค่าแก่เวลานั้น มันมากกว่าการมาตรงเวลาหรือการไม่ให้คนอื่นรอ ก็คือเวลาในชีวิตเอาคืนไม่ได้ วินาทีเดียวก็เอาคืนไม่ได้ เงินหมดตัวยังหาใหม่ได้ แต่แม้แต่วินาทีเดียวก็หาคืนมาไม่ได้ ถ้างั้นเวลาที่เราใช้อยู่กับคนที่เรารักหรือเวลาที่เราเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่ต้องคิดว่าเวลามีค่ามากกว่าอื่นๆ มีค่ามากกว่าเงิน ต้องใช้มันอย่างมีค่า” เป็นคำพูดของคุณบี ที่เธอเชื่อและทำเช่นนั้น